วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558

บทส่งท้าย รวมสูตรยาสมุนไพรไทย และการรักษาด้วยตัวเอง

บทส่งท้าย รวมสูตรยาสมุนไพรไทย และการรักษาด้วยตัวเองดังนี้
สูตร 1 รักษาโรคปอดหรือหอบหืด ใช้ขิงเท่าหัวแม่มือ หอมแดง และกระเทียมเท่าขิง ปั่นหรือตำ เติมน้ำ 1 แก้ว กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บีบมะนาว 3-4 ลูก รับประทานทุกวัน ถ้าเป็นมานาน จะหายภายใน 60 วัน
สูตร 2 บำรุงสมอง ไต ช่วยให้ผมดกดำ ใช้กระชายเหลือง 1 กก. ใส่น้ำมากๆ ปั่นผสมกับใบโหระพา รินเอาแต่น้ำใส ผสมน้ำผึ้ง น้ำมะนาว ดื่มทุกวัน
สูตร 3 เป็นลม หน้ามืดบ่อย มีเม็ดเลือดน้อย ใช้สับปะรดปั่นกับใบโหระพา เติมน้ำ 1 แก้ว กรองเอาน้ำดื่มทุกวัน จะช่วยเพิ่มเม็ดเลือดได้ดี
สูตร 4 คอเรสเตอรอลสูง ทำให้เส้นเลือดสมองตีบ เส้นเลือดขอด ใช้กระเจี๊ยบแดงต้มกับลูกพุทราไทยหรือจีน เติมน้ำตาลกรวดเล็กน้อยดื่มทุกวัน จะช่วยขจัดไขมันในเลือดออกไปได้
สูตร 5 ยาระบายท้องผูก ตอนเช้าดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว, ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว 1 แก้ว, ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน 1-2 ลูก, กินแกงขี้เหล็ก, มะขามป้อม, มะเฟือง, กล้วยน้ำว้า, เม็ดมะรุม 3-5 เม็ด, เม็ดแมงลัก 1 ช้อนชาแช่น้ำ 1 แก้ว จนพองเต็มที่ ดื่มก่อนนอนทุกวัน
สูตร 6 ล้างลำไส้เล็ก ใช้โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว กินเข้าไป แลคโตบาซีลัสในโยเกิร์ตจะไปช่วยย่อยขยะ, ไขมัน ในลำไส้ได้ กินตอนเช้าจะช่วยลดความอ้วนได้
สูตร 7 วิธีการดึงเส้นแก้ปวดเมื่อยหลังหรือกระดูกทับเส้นช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนดีขึ้น โดนให้นอนหงายงอเข่าทั้ง 2 ข้าง ใช้มือทั้ง 2 ข้างดึงเข่าข้างขวาเข้าหาตัวให้มากที่สุด นับ 1-50 แล้วใช้มือซ้ายดึงปลายเท้าเข้าหาตัวให้ได้มากที่สุด นับ 1-50 แล้วปล่อยเท้าขวาลง สลับไปดึงเข่าซ้ายทำแบบเดียวกับด้านขวาทำได้ทุกเวลาที่ต้องการคลายเส้นหลัง
สูตร 8 ผู้ที่ป่วยเกี่ยวกับเส้นประสาท ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไมเกรน ให้ใช้เท้าแช่น้ำอุ่นทั้งสองข้าง พร้อมกับนวดฝ่าเท้าทุกวัน จะทำให้เลือดลมหมุนเวียนดี โรคภัยต่างๆ จะค่อยๆ หายไป ประมาณ 3-6 เดือน

สูตร 9 ยาอายุวัฒนะ ปรับสภาพร่างกายให้สมดุล แข็งแรง มีตัวยา 7 ตัว คือ ทิ้งถ่อน, ตะโกนา, แห้วหมู, พรเพ็ชร, พริกไทย, เม็ดต้นข่อย และยาดำ อย่างละ 20 บาทไทย ผสมให้ผงเข้ากันทั้งหมด แล้วแบ่งส่วนผสมน้ำผึ้งพอปั้นเป็นลูกกลอน กินก่อนนอนวันละ 2-3 เม็ดทุกวัน

รักษาด้วยสมุนไพร

3. รักษาด้วยสมุนไพร
       กินอาหารให้เป็นยา รักษาร่างกายแบบองค์รวมทั้งตัว โดยเริ่มที่แหล่งพลังงานก่อน ร่างกายคนเหมือนกับรถยนต์ ถ้าเครื่องยนต์ทำงานไม่ดี ติดๆ ขับๆ มันก็ไม่มีพลังไปขับเคลื่อนส่วนอื่นๆ ให้วิ่งไปได้ เราเอาอะไรใส่ให้มันกิน มันจึงเป็นเช่นนั้น
       ร่างกายคนเราก็เหมือนกันกระเพาะอาหารเป็นหัวใจสำคัญของแหล่งพลังงาน ถ้าเรากินอะไรเข้าไป ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจว่ากระเพาะจะย่อยได้หรือไม่ เมื่อมันย่อยไม่ได้ก็ไม่มีอาหารไปเลี้ยงร่างกายที่แย่กว่านั้นคือ ได้อาหารเป็นพิษไปเลี้ยงร่างกาย ทำให้เกิดโรคตามมามากมาย เกิดการหมักหมม เกิดแก๊สขึ้นในกระเพาะ ก็จะพุ่งขึ้นบน หอบเอาน้ำย่อยซึ่งเป็นกรดขึ้นมากัดเซาะขั้วกระเพาะ หลอดอาหาร ปากคอ เป็นเม็ดเป็นแผล มีกลิ่นเหม็นออกมากับลมหายใจคือกลิ่นปาก ฉะนั้นไม่ว่าท่านจะเป็นโรคอะไร ต้องแก้ที่การกินให้ถูกต้อง ถูกเวลา กระเพาะย่อยได้ดี ก็มีอาหารดีๆ ไปเลี้ยงร่างกาย ร่างกายก็จะค่อยๆ ดีขึ้น
การแก้ไข ปรับปรุง ระบบการย่อยของกระเพาะอาหารให้ดีขึ้น ดังนี้
- ขับพิษออกจากร่างกายโดยกินยาถ่าย ล้างลำไส้ติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำผัก ผลไม้คั้น 2-7 วัน ติดต่อกัน เวลาท้องว่าง (หลังอาหาร 1 ชม.)
-กินเนื้อสัตว์ นม ไข่ ให้น้อยลง แล้วกินพืชผัก ธัญพืชให้มากๆ จะได้มีกากใย ไปกวาดเอาของเสียที่เกาะสะสมอยู่ในลำไส้ออกไป (โดยเฉพาะผักบุ้งไทยดีมาก)
-กินสมุนไพรช่วยในการย่อยอาหาร เช่น ขิง, ขมิ้น, พริกไทยและอาหารไทยทุกชนิด จะมีส่วนผสมพริกแกง เป็นยาสมุนไพร (ขิงผงชงดื่มก่อนอาหารก็ได้)
-กินน้ำเอนไซม์ช่วยย่อยอาหาร ส่วนใหญ่จะเป็นของหมัก ดอง เช่น ผักกาดดอง ผลไม้ดองทุกชนิด ข้าวหมาก เครื่องดื่มมึนเมาพวกยาดองเล็กน้อยช่วยให้กระเพาะมีพลังในการย่อยมากขึ้น

-กินมะรุม ช่วยปรับสมดุล ให้อวัยวะทุกส่วนของร่างกาย กินได้ทั้งใบ เมล็ด (กิน 5 เมล็ด เป็นยาระบาย)

การนวดบำบัด เพื่อการรักษาโรค

2. การนวดบำบัด เพื่อการรักษาโรค

 เป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ให้กระจายไปทั่วตัว ลมปราณเดินได้สะดวกไม่ติดขัด อวัยวะภายในร่างกายก็จะทำงานได้ดี ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับน้ำ “เมื่อน้ำไหลไม่หยุดนิ่ง มันไม่เน่าเสีย” อย่างผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะมีอาการเท้าดำ ซึ่งเกิดจากเลือดไม่สามารถหมุนเวียนไปเลี้ยงเท้าได้ เกิดคั่งค้าง ทำให้ปวด บวม จึงต้องทำการนวดเพื่อให้เลือดลมหมุนเวียนจากบนลงล่างและล่างขึ้นบนได้ตลอดเวลา เอาเลือดดีไปแทนเลือดเสียตามส่วนต่างๆ ของร่างกายและส่งเลือดเสียกลับไปฟอกที่ไตและตับ กำจัดของเสียจากเลือดออกไป เพื่อเลือดดีหมุนเวียนดีจะช่วยปรับสมดุล ร้อน เย็น ของอวัยวะภายใน สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่ายๆ ดังนั้นควรนวดกระตุ้นทั้งตัว โดยเฉพาะที่ฝ่าเท้าทั้งสองข้างเพราะเป็นศูนย์รวมเส้นประสาททั้งหมดของร่างกาย

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง

1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง

       มีความสำคัญและเป็นหัวใจของการรักษา เพราะต้นเหตุของโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น เกิดจากตัวของผู้ป่วยสร้างมันขึ้นมาเอง ส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่ไม่มีเชื้อโรค เช่น โรคกระเพาะอาหาร, สมองเสื่อม, ไมเกรน, ปวดศีรษะ, นิ่วในถุงน้ำดี, กลิ่นปาก, ร้อนใน, แผลในปาก, สิว, ฝ้า, กระ, หอบหืด, เบาหวาน, มะเร็ง, ภูมิแพ้, กรดไหลย้อน, น้ำในหูไม่เท่ากัน, โรคผิวหนัง, ปวดหลังกระดูกทับเส้น, ริดสีดวงทวาร, ท้องผูกและปวดเมื่อยร่างกาย เป็นต้น โรคเหล่านี้เกิดจากพฤติกรรมการกินอาหารและน้ำไม่ถูกต้อง ทำให้อาหารไม่ย่อย เกิดการบูดเน่าในกระเพาะอาหาร เกิดแก๊สพิษ ร่างกายดูดซึมเข้ากระแสเลือด เอาพิษไปเลี้ยงร่างกาย ทำให้เกิดเป็นโรคต่างๆ ขึ้น ถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุ ถึงแม้จะรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันหรือแผนโบราณจนหายแล้ว ถ้ายังกินอยู่เหมือนเดิมก็จะกลับมาเป็นอีกในไม่ช้า ถ้ากินอยู่ถูกต้อง ร่างกายจะค่อยๆ ดีขึ้น แข็งแรงขึ้น

5. กินอาหารให้เป็นยา จะได้ไม่ต้องกินยาเป็นอาหาร

5. กินอาหารให้เป็นยา จะได้ไม่ต้องกินยาเป็นอาหาร
 ซึ่งโดยปกติ อาหารมีคุณสมบัติในการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงและเพิ่มพลังต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ ตามธรรมชาติแล้ว ยังมีความสำคัญในแง่ที่เป็นยาอีกด้วย ดังนั้นการรักษาสุขภาพด้วยการกินอาหารอย่างเหมาะสมทุกวัน จะช่วยบำบัดอาการบกพร่องในร่างกายให้ดีขึ้น ป้องกันโรคที่จะเกิดขึ้นโดยการกินอาหารหลัก 5 หมู่ ดังนี้
 กลุ่มคาร์โบไฮเดรต ให้กินข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ และอาหารที่ขัดสี แปรรูป น้อยที่สุด ร่างกายจะได้รับวิตามิน เกลือแร่ และกากใยจากอาหารมากขึ้น ทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ท้องไม่ผูก
 กลุ่มเนื้อ นม ไข่ โปรตีน กินเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ หรือไม่กินเลย เพราะเนื้อสัตว์จะย่อยยาก และมีสารตกค้าง จากการเลี้ยง เร่งให้โตมาก ทำให้ผู้บริโภคอายุสั้นเพราะร่างกายต้องทำงานหนักจากการที่พยายามจะย่อยมันและต้องกำจัดสารตกค้าง ออกให้ได้ ฉะนั้นการกินสัตว์เล็กๆ เช่น ปลา, ปู, กุ้ง ซึ่งย่อยง่ายและกินพืช ผัก ผลไม้ เป็นอาหารหลัก ทำให้ย่อยง่าย ไม่มีสารพิษตกค้าง ร่างกายไม่ทำงานหนัก ทำให้สุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนนาน

**การรักษาโรคด้วยตัวเอง มี 3 ขั้นตอนดังนี้คือ
1.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองตามวิธีการป้องกันโรคข้างต้น
2.การนวดบำบัด เพื่อกระตุ้นร่างกาย ให้โลหิตหมุนเวียนดี

3.รักษาด้วยสมุนไพร กินอาหารให้เป็นยารักษาทั้งตัวเป็นองค์รวม 

คาถาป้องกันตัว ระวัง อย่าประมาท

4. ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มน้ำเย็น น้ำอัดลม และ นมทุกชนิด

4. ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มน้ำเย็น น้ำอัดลม และ นมทุกชนิด
 ไม่สูบบุหรี่หรือยาเสพติดอื่นๆ ที่เป็นอันตรายต่ออวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ไม่ดื่มน้ำเย็น น้ำแข็ง หรือเครื่องดื่มอื่นๆ ที่เย็นๆ เพราะร่างกายของเราที่อุณหภูมิปกติ กระเพาะจะย่อยอาหารได้ดีที่สุด ถ้าเย็นกว่าปกติ ร่างกายจะต้องเสียพลังงาน ไปทำให้อาหารนั้นมีอุณหภูมิปกติก่อนจึงจะย่อยได้ ถ้าบางคนระบบย่อยไม่แข็งแรง อาหารมื้อนั้นอาจจะไม่ย่อยเลยก็ได้
 น้ำอัดลมก็คือ น้ำอัดแก๊ส ซึ่งเป็นแก๊สที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีแต่โทษ และในส่วนผสมของน้ำอัดลม จะมีสารกันแข็งเพื่อให้แช่เย็นแล้ว น้ำอัดลมจะไม่แข็งตัวเป็นน้ำแข็ง ซึ่งสารตัวนี้ ถ้าเราดื่มน้ำอัดลมเย็นๆ หลังจากกินอาหารเสร็จ มันจะลงไปเคลือบอาหารมื้อนั้นไว้ ทำให้กระเพาะไม่สามารถย่อยอาหารมื้อนั้นได้

 นมทุกชนิด ถ้าดื่มนมตามหลังอาหารลงไป มันจะไปเคลือบอาหารมื้อนั้น ทำให้อาหารไม่ย่อย เพราะในเนื้อของนมที่เป็นของเหลว จะเปลี่ยนสภาพเป็นของแข็งข้นๆ ซึ่งย่อยยากมาก ในกระเพาะคน (หาอ่านจากหนังสือคนไทยถูกหลอกให้ดื่มนม) ถ้าจะดื่มนม ให้ดื่มช่วงท้องว่าง อย่าดื่มหลังอาหารหรือก่อนนอน

3. การออกกำลังกาย

3. การออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย จากภารกิจ การงานต่างๆ การทำงาน ในภาระหน้าที่ประจำ ถึงแม้ว่าร่างกายจะใช้กำลังในการทำงาน แต่ไม่ใช่การออกกำลังกาย เพราะ ระบบสมองและเส้นประสาทส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไม่ได้ผ่อนคลาย การออกกำลังกายทำได้หลายอย่าง แล้วแต่สภาพของแต่ละบุคคล ทั้งสถานที่ เวลา สภาพร่างกาย สุขภาพ แต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน ฉะนั้น แต่ละคนต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม โดยทั่วไปจะเป็นการเดิน การวิ่ง การเล่นกีฬาต่างๆ แต่วิธีการต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 30 นาทีต่อครั้ง จึงจะได้ประโยชน์ และ ถ้าทำต่อเนื่องจนมีเหงื่อออกทุกครั้งจะดีมาก ร่างกายได้ขับของเสียออกทางผิวหนัง ทำให้รู้สึกสดชื่น มีพลังทั้งร่างกายและจิตใจเพิ่มขึ้น แต่ในสภาพความเป็นจริง ในปัจจุบัน เวลา สถานที่ หลายคนไม่สามารถไปเดิน วิ่ง ได้ ทำให้ต้องออกกำลังกายภายในบ้านด้วยเครื่องออกกำลังกายชนิดต่างๆ ซึ่งก็ใช้ได้ แต่ยังมีวิธีการออกกำลังกายอีกอย่างที่ใช้ได้ผลดี นั่นคือ การแกว่งแขน ซึ่งใช้สถานที่น้อยมากและไม่เสียเงินซื้อเครื่องออกกำลังกาย (มาตั้งไว้แล้วไม่ได้ใช้) สามารถทำได้ทุกเวลาที่ว่าง และอยากทำ มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย อย่างน่าอัศจรรย์ การแกว่งแขนจะเป็นการกระตุ้นให้เลือดลมตื่นตัว เลือดที่เสียคั่งค้างไม่เดิน ก็จะมีแรงขับดัน ให้หมุนเวียนดีขึ้น เมื่อเลือดลมหมุนเวียนดี เลือดที่เสียถูกส่งกลับไปฟอกใหม่จนดี แล้วส่งกลับไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ร่างกาย ทำให้ส่วนของร่างกายที่มีปัญหาเช่น อัมพาต ความดันโลหิตสูง ไขข้ออักเสบ เป็นลม ได้รับการแก้ไข ชีพจรเกิดการเปลี่ยนแปลงกลับคืนสู่สภาพปกติ
 วิธีการแกว่งแขน โดยเริ่มจากยืนตัวตรง เท้าทั้งสองข้างแยกออกจากกัน ให้ระยะห่างเท่ากับช่วงไหล่ ปล่อยมือทั้งสองข้างลงข้างตัว หันอุ้งมือไปข้างหลังท้องน้อยหดเข้า เหยียดหลัง ผ่อนคลายกระดูก ลำคอ ศีรษะและปาก ปล่อยตามสบาย ปลายนิ้วเท้าจิกยึดเกาะพื้น ส่วนส้นเท้าให้ออกแรงเหยียบพื้นให้แน่น จนรู้สึกว่ากล้ามเนื้อที่โคนเท้าและท้องตึง สายตาควรมองไปที่จุดใดจุดหนึ่ง
       กำหนดความรู้สึกมารวมอยู่ที่เท้าเท่านั้น แล้วเริ่มแกว่งแขนไปข้างหน้า แกว่งไปพร้อมกันทั้ง 2 ข้างเบาๆ ไม่ต้องสูงจนเกินไป แล้วปล่อยลง ออกแรงแกว่งขึ้นไปข้างหลัง ให้สูงเท่าที่จะทำได้ แล้วปล่อยลง ให้แรงเหวี่ยงส่งไปข้างหน้า ไม่ต้องออกแรง ให้ออกแรงมากเฉพาะไปข้างหลัง ระหว่างแกว่งแขน ต้องรู้สึกว่าส้นเท้ายืนแน่นอยู่กับที่ ทำให้ได้ครั้งละ 30 นาที หรือ 200-300 ครั้ง แล้วเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เท่าที่จะทำได้

 ประโยชน์ของการแกว่งแขน ทำให้หลายโรคที่เกี่ยวข้องกับการเดินของชีพจร เลือดลมดีขึ้น เช่น โรคความดันโลหิตสูง, โรคประสาท, โรคจิต, โรคไต, โรคอัมพาต, น้ำเหลืองเสีย, โรคมะเร็ง, เนื้องอก, โรคที่เกี่ยวกับสายตา, โรคตับ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรเดินออกกำลังกายพร้อมๆ กับแกว่งแขนตามจังหวะ ก้าวเดินให้สัมพันธ์กัน ซึ่งต้องใช้สมาธิพอสมควร

2. การดื่มน้ำให้ถูกต้องใน 1 วัน


2. การดื่มน้ำให้ถูกต้องใน 1 วัน

ตื่นเช้าล้างหน้าก่อนแปรงฟัน ดื่มน้ำตาม 2-5 แก้ว (ให้ดูดน้ำจากปากแก้ว ช่วยให้น้ำลงเร็วขึ้น) และน้ำชา กาแฟ ของว่างตามปกติ


ออกกำลังกายประมาณ 30 นาที เสร็จแล้ว ดื่มน้ำครึ่งแก้ว


กินอาหารเช้า เสร็จดื่มน้ำตามครึ่งแก้ว
(ระหว่างกิน ไม่ควรดื่มน้ำ ให้กินน้ำแกง)


กระเพาะอาหารใช้เวลาย่อย 40-60 นาที
(ไม่ควรดื่มน้ำ, นม, เครื่องดื่ม ทุกชนิด)


หลังจากกระเพาะย่อยเสร็จแล้วดื่มน้ำได้
เรื่อยๆ ครั้งละครึ่งแก้ว รวมทั้งน้ำอื่นๆ ได้


กินอาหารกลางวัน (ก่อนและหลังดื่มน้ำไม่เกินครึ่งแก้ว)


กระเพาะอาหารใช้เวลาย่อย 40-60 นาที
(ไม่ควรดื่มน้ำ, นม, เครื่องดื่ม ทุกชนิด)


หลังจากกระเพาะย่อยเสร็จแล้วดื่มน้ำได้
เรื่อยๆ ครั้งละครึ่งแก้ว รวมทั้งน้ำอื่นๆ ได้


กินอาหารมื้อเย็นไม่ควรเกิน 2 ทุ่ม เสร็จแล้วดื่มน้ำครึ่งแก้ว


กระเพาะอาหารใช้เวลาย่อย 40-60 นาที หลังจากนี้แล้วพลังในการย่อยอาหารจะย้ายที่ไม่ควรกินอาหารเข้าไปอีก


ก่อนนอนไม่ควรเกิน 4 ทุ่มให้ดื่มน้ำ 1 แก้ว ไม่ควรดื่มนมทุกชนิด เพราะกระเพาะจะไม่ยอมย่อยอาหารแล้ว


เวลา 5 ทุ่ม ถึง ตี 3 พลังที่ย่อยอาหารจะย้ายมาที่ลมปราณของถุงน้ำดีและตับ เพื่อกำจัดของเสียที่สะสมอยู่ในเลือดออกไปและเร่งผลิตน้ำย่อยและน้ำดี เอาไว้ย่อยอาหารและไขมัน ในวันต่อไปฉะนั้นช่วงเวลานี้ควรหลับพักผ่อนให้ร่างกายมีเวลาซ่อมแซมอวัยวะภายใน

หมายเหตุ รวมแล้วใน 1 วัน ควรดื่มน้ำประมาณ 8-10 แก้ว การดื่มน้ำครั้งละครึ่งแก้ว ร่างกายจะดูดซับไปใช้หมด การดื่มน้ำครั้งละ 2-5 แก้ว ร่างกายจะดูดซับไปใช้ไม่ทัน น้ำจะลงไปช่วยขับของเสียที่ลำไส้ใหญ่และกระเพาะปัสสาวะ ช่วยระบบขับถ่าย นมควรดื่มเวลาท้องว่าง (หลังอาหาร 40-60 นาที) หลังอาหารมื้อเช้าและมื้อกลางวันเท่านั้น เวลาอื่นไม่ควรดื่มเพราะมันย่อยยาก (หาอ่านในหนังสือ คนไทยถูกหลอกให้ดื่มนม)

1.ปรับระบบสมอง

1. ปรับระบบสมอง เพื่อป้องกันโรคหวัด ซึ่งเป็นต้นทางของโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ที่จะตามมา รวมทั้งอาการปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ ไอ จาม ต่างๆ

วิธีการปฏิบัติ ก่อนแปรงฟันทุกครั้ง ทั้งตอนเช้า หรือก่อนนอน ให้ใช้น้ำเย็นปกติล้างหน้าก่อน อย่าให้น้ำเข้าปากเด็ดขาด หลังจากล้างหน้าแล้ว ถ้ามีอาการปวดคอ ข้อแขน เข่า อื่นๆ ให้ใช้น้ำเย็นลูบตามจุดต่างๆ แล้วแปรงผม นวดหนังศีรษะ นวดคอ เพื่อเว้นระยะเวลา สัก 2-3 นาที ก่อนที่จะแปรงฟัน เป็นการกระตุ้นและจัดเรียงระบบเส้นประสาทสมองใหม่ให้ถูกต้อง ให้ปฏิบัติทุกวันอย่างเคร่งครัด จะเห็นผลชัดเจนในเวลา 3-6 เดือน ระยะเวลาแต่ละคนไม่เท่ากันเพราะความต้านทางของร่างกายไม่เหมือนกัน หลังจากปฏิบัติจนเป็นเรื่องปกติธรรมดาแล้ว จะรู้สึกว่าตัวท่านจะเป็นหวัดยากขึ้น ไม่ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้อีกเลย ผู้เขียนทดลองมาแล้ว ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน

แนะนำ

เคล็ดลับ
การป้องกันโรค
และ
การรักษาโรคด้วยตัวเอง
ด้วยความปรารถนาดีกับพี่น้องคนไทย
เพื่อความยุติธรรมและประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ขอให้ท่านรักษาร่างกายให้แข็งแรง เพื่ออยู่
ดูวันล่มสลายของอำนาจเผด็จการประเทศไทย

จัดทำโดย อูเช็ง เชียงใหม่
โทร 086-9207130

 คติธรรม        การให้โดยไม่คิดหวังสิ่งตอบแทน
ท่านจะได้รับสิ่งตอบแทนมากกว่าที่คิดหวังไว้


ปรับปรุงครั้งที่ 5 (ไม่สงวนลิขสิทธิ์)


*การป้องกันโรค โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวท่านเอง ซึ่งไม่ได้เสียเงินเพิ่มแต่อย่างใด โดยปฏิบัติดังนี้
1.ปรับระบบสมอง โดยล้างหน้าก่อนแปรงฟัน
2.การดื่มน้ำให้ถูกต้องและเพียงพอ
3.การออกกำลังกาย เท่าที่สามารถจะทำได้
4.ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มน้ำเย็น น้ำอัดลมและนมทุกชนิด

5.กินอาหาร ให้เป็นยา จะได้ไม่ต้องกินยาเป็นอาหาร